1. ฟาร์มโทมิตะ ฮอกไกโด (Tomita Farm)
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการได้ไปวิ่งเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์เป็นความฝันของสาวๆ หลายคน ก่อนอื่นเลยเราจะพาขึ้นเหนือไปฝั่งฮอกไกโดก่อนค่ะ ฟาร์มโทมิตะตั้งอยู่ในเมืองฟุราโนะ ภูมิภาคฮอกไกโดค่ะ ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตติดอันดับทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวญี่ปุ่นเลย ในช่วงฤดูร้อนของประเทศญี่ปุ่นแม้จะมีอากาศร้อนไม่ต่างไปจากบ้านเรา แต่ทางฝั่งฮอกไกโดนั้นถือว่าอากาศกำลังเย็นสบายเลยล่ะค่ะ
- รถไฟ JR Furano Line และ Furano-Biei Norokko trains ลงที่ Lavender Batake Station (เฉพาะเดือนมิถุนายน-ตุลาคม)
- รถไฟ JR Furano Line ลงที่สถานี Nakafurano
- รถบัสชมวิว Twinkel Bus Furano "Lavender Course" เดินทางจาก Asahikawa ถึง Furano
เวลาทำการ : 09.00 น. – 17.00 น. (แต่ละช่วงฤดูกาลอาจจะเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย)
ค่าเข้า : ไม่เสียค่าเข้า
2. คามิโคจิ นากาโนะ (Kamikochi)
วิธีการเดินทาง
- รถบัสด่วนพิเศษ สายซาวายากะชินชู (Sawayaka Shinshu Express Bus) วิ่งตรงจากสถานีรถบัสชินจูกุ (Shinjuku Bus Terminal) ไปยังสถานีรถบัสคามิโคจิ (Kamikochi Bus Terminal)
ค่าเข้า : ไม่เสียค่าเข้า
ฤดูกาลที่แนะนำ : ตลอดทั้งปี
3. ลำธารโออิราเสะ อาโอโมริ (Oirase Keiryu)
วิธีการเดินทาง
- นั่งรถบัสให้บริการจากป้าย Towadako (Yasumiya) หรือ JR Aomori ไปยัง Hachinohe
ค่าเข้า : ไม่เสียค่าเข้า
ฤดูกาลที่แนะนำ : ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง
4. น้ำตกริวสุ นิกโก้ (Ryuzu Waterfall)
วิธีการเดินทาง
- จากสถานี JR Nikko หรือ Tobu Nikko นั่งรถบัส Tobu bus สายที่มุ่งหน้าไปยัง Yumoto Onsen ลงที่ป้าย Ryuzu no Taki
ค่าเข้า : ไม่เสียค่าเข้า
ฤดูกาลที่แนะนำ : ฤดูใบไม้ร่วง
5. เนินทรายทตโตริ ทตโตริ (Tottori Sand Dunes)
เปลี่ยนบรรยากาศจากภูเขาและป่าไม้ไปเป็นทะเลทรายกันบ้างดีกว่า เพื่อนๆ ทราบมั้ยคะว่าที่ญี่ปุ่นเองก็มีทะเลทรายเช่นเดียวกันนะ! โดยทะเลทรายที่ว่านั้นตั้งอยู่ในจังหวัดทตโตริซึ่งอยู่ทางภูมิภาคคันไซค่ะ นอกจากทะเลทรายเก๋ๆ แล้วที่นี่ยังมีอูฐให้เพื่อนๆ ได้ขี่ถ่ายรูป หรือกิจกรรมสนุกๆ อย่างสโนว์บอร์ดทรายให้ได้ลองเล่นอีกด้วยนะ ใครที่ชอบรูปสไตล์มินิมอลล่ะก็ไม่ควรพลาดที่นี่เลยค่ะ อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่นี่ อยากเที่ยวทะเลทราย ไปแค่ญี่ปุ่นก็พอ!
วิธีการเดินทาง
- ลงรถไฟสถานี Tottori จากนั้นขึ้นบัสที่ป้าย Tottorieki ไปลงที่ป้าย Kodomo no Kuniiriguchi จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 2-3 นาที
ค่าเข้า : ไม่เสียค่าเข้า
ฤดูกาลที่แนะนำ : ตลอดทั้งปี
6. เกาะซะโดะ นีกาตะ (Sado Island)
สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้เหมาะสำหรับใครที่อยากเรียนรู้วิธีชีวิตความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยโบราณค่ะ โดยไฮไลท์ของที่นี่คือเรือที่ใช้ข้ามฝั่งที่มีชื่อว่า "Taria Bune" เรืออ่างที่หากใครเคยดูอนิเมะเรื่อง Spirited Away คงคุ้นตาเป็นอย่างดี เพื่อนๆ จะมีโอกาสได้นั่งเรือไปชมธรรมชาติของเกาะ พร้อมกับรูปเจ๋งๆ กลับไปอวดเพื่อนในอินสตราแกรมอย่างแน่นอนค่ะ
วิธีการเดินทาง
- จากท่าเรือ Naoetsu โดยสารเรือเฟอรี่ด่วน Jetfoils ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที มาลงที่ท่าเรือ Ogi แล้วนั่งแท็กซี่อีกประมาณ 10 นาที
ค่าเข้า : ไม่เสียค่าเข้า
ฤดูกาลที่แนะนำ : ตลอดทั้งปี
7. ปราสาททาเคดะ เฮียวโกะ (Takeda Castle)
สถานที่ท่องเที่ยวนี้เอาใจคนที่ชอบตื่นเช้าและชมทะเลหมอกค่ะ โดยปราสาทคาเดดะเนี่ยเป็นปราสาทที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเฮียวโกะ บนภูเขาที่มีความสูง 353 เมตรจากระดับน้ำทะเล แม้ว่าปัจจุบันที่นี่จะเหลือแค่ซากปรักหักพังหรือฐานปราสาทให้ได้ชมก็ตาม แต่ต้องบอกเลยว่าทิวทัศน์ของทะเลหมอกที่ปกคลุมล้อมรอบปราสาททำให้เหมือนเพื่อนๆ ได้หลุดไปอยู่ในโลกของเทพนิยายเลยล่ะค่ะ ฤดูกาลที่สามารถเข้าชมปราสาทนี้ได้คือช่วงกลางเดือนมีนาคมไปจนถึงธันวาคมเลยล่ะค่ะ
วิธีการเดินทาง
- นั่งรถไฟ JR Bantan Line จากสถานี Himeji ลงที่สถานี Takeda จากนั้นเดินจากสถานีไปยังปราสาทใช้เวลาประมาณ 21 นาที
ค่าเข้า : ผู้ใหญ่ 500 เยน, เด็กไม่เสียค่าใช้จ่าย
ฤดูกาลที่แนะนำ : ตลอดทั้งปี
8. ภูเขาไฟอะโซ คุมาโมโต้ (Mt. Aso)
เราลงไปดูทางฝั่งใต้อย่างภูมิภาคคิวชูกันบ้างดีกว่าค่ะ ภูเขาไฟอะโซนั้นตั้งอยู่ในจังหวัดคุมาโมโต้ ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่หลับใหล ภูเขาไฟอะโซมีความสูง 1,592 เมตรจากระดับน้ำทะเล ประกอบด้วย 5 ยอดเขาด้วยกัน แต่จะเหลือเพียงแค่ปล่องภูเขาไฟ Nakadeke เท่านั้นที่ยังคงครุกรุ่นไปด้วยอวยควันสีขาวอยู่ตลอดเวลา ที่นี่เป็นเส้นที่เหล่านักเดินป่าให้ความนิยมอย่างมากอีกด้วย
เนื่องจากภูเขาไฟอะโซยังคงครุกรุ่นจึงเป็นสถานที่ที่เปิดให้เข้าชมบางช่วงฤดูกาล เพราะบางครั้งหากภูเขามีระดับก๊าซสูงขึ้น จะปิดไม่ให้เข้าเพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดกับนักท่องเที่ยวได้ ใครที่ไม่เคยเห็นภูเขาไฟของจริงล่ะก็เราขอแนะนำที่นี่เลยค่ะ!
วิธีการเดินทาง
- นั่งรถไฟ JR Hohi Main Line จากสถานี Oita จังหวัดโออิตะไปลงที่สถานี Aso จังหวัดคุมาโมโต้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วต่อรถบัส Sanko Bus Aso Volcano Line ไปลงที่ป้าย Mt. Aso West Station
ค่าเข้า : ไม่เสียค่าเข้า
ฤดูกาลที่แนะนำ : ตลอดทั้งปี
เป็นอย่างไรบ้างคะ พอจะได้ไอเดียเพิ่มที่เที่ยวลงไปในแพลนของเพื่อนๆ กันรึยังเอ่ย นี่เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวแนวธรรมชาติบางส่วนที่เราแนะนำเพื่อนๆ เท่านั้น ประเทศญี่ปุ่นยังมีสถานที่ท่องเที่ยวแนวธรรมชาติอีกมากมายที่รอให้เพื่อนๆ แวะไปเยือนอยู่นะ! สุดท้ายนี้หากใครมีคำถามข้อสงสัย หรืออยากพูดคุยกับเราล่ะก็สามารถติดต่อไปได้ทางเพจด้านล่างนี้เลยค่ะ ไว้เจอกันใหม่บล็อกหน้าค่า~
ตอนนี้เราได้รับมอบหมายให้เป็นแอดมินดูแลเพจหนึ่งอยู่ ใครที่สนใจยังไงก็ฝากแวะเวียนเข้าไปกดไลค์กันด้วยนะคะ ทุก 1 ไลค์ของเพื่อนๆ มีค่ากับเราค่ะ :)
PAGE คุณชอบอะไรของญี่ปุ่น? : https://www.facebook.com/mooi.ipu
Instagram : https://www.instagram.com/katerumrsn/
ขอขอบคุณรูปภาพเพิ่มเติมจาก
- https://www.houki-town.jp/p/15/2/2/5/
- https://zekkeijapan.com/spot/index/278/
- https://zekkeijapan.com/spot/index/74/
- https://www.jnto.or.th/newsletter/nagano-kamikochi/
- https://japanbyjapan.com/autumn/cat-autumn_foliage/166/
- https://www.japanhoppers.com/en/kanto/nikko/kanko/637/
- https://www.evaneos.com/experiences/500-search-for-gold-on-japan-s-sado-island/
ติดตามรับข่าวสารเกี่ยวกับญี่ปุ่น
YouTube: www.youtube.com/ilovejapanth/
Facebook: www.facebook.com/ILoveJapan.th/
Twitter: https://twitter.com/ILOVEJAPANTH
Instagram: www.instagram.com/ilovejapanth/
TikTok: https://www.tiktok.com/@ilovejapanth
ทดลองเรียนภาษาญี่ปุ่นออนไลน์ฟรี 3 วันได้ที่ www.ilovejapanschool.com